ขอให้ผู้อ่านทุกท่านได้รับประโยชน์ จากเรื่องจริงของผม ด้านล่างนี้ ขอให้ท่านได้มีกำลังใจ เพื่อทำในสิ่งที่ฝันได้สำเร็จ น่ะครับ
ประสบการณ์ในชีวิตของผม น่าจะสร้างความประหลาดใจ ไม่น้อยให้กับผู้อ่าน ผมเลือกที่จะดิ้นรน เพื่อชีวิตที่ดีขึ้น กว่าเดิม อาจต้องใช้เวลาบ้าง พักบ้าง แวะบ้าง แต่ผมไม่เลิกล้ม สิ่งที่ทำครับ สิ่งที่ผมชอบ คิดตลอด คือ ผมไม่ยอมทิ้งนา เมื่อ หว่านเมล็ด ไปแล้วหรอกครับ ผมสังเกตุ คนมากมาย ชอบเปลี่ยนอาชีพไปเรื่อยๆ เมื่อพบปัญหา แต่ หากเรานั่งคิด ให้เวลา อยู่กับสิ่งนั้น เดี๋ยวทางออกก็จะปรากฎขึ้นเสมอครับ
ผมเป็นเพียงพนักงาน เงินเดือน (น้อย) ครับ
ครอบครัวของผม แตกแยกกันไป มีครอบครัวใหม่ ผมจึงได้สิทธิ์ ไปอาศัยกับอากง เท่านั้น (คิดแบบลบๆ คือไม่มีใครเอา ทางเดียวทีเหลืออยู่ คือ อากง) ดิ้นรน จนจบ ปริญญาตรีได้ เงินเดือนของผม ช่วงนั้น ระดับ 4,000 ถึง หมื่น ต้นๆ ขึ้นๆ ลงๆ อยู่แถวนี้แหละ เนื่องจาก บริษัทปิดตัวบ้าง เปลี่ยนงานบ้าง
หลังจากทำงานได้สักพัก เกิดขึ้นขณะ ผมกำลังจะเปลี่ยนบริษัท เพื่อความก้าวหน้า บริษัท wat… จำกัด(คล้ายๆร้าน Boot) นั้น นัดวันเริ่มงาน กับผมแล้ว
ใบลาออกที่เดิมก็ยื่นลาออกไปเรียบร้อยแล้ว เหลือ อีก2-3วัน รอวันเริ่มงาน แต่ฟ้า กำลังทำอะไรกับผม กันเนี๊ยะ ฝ่ายบุคคลของบริษัทใหม่ โทรมายกเลิกการจ้าง กระทันหัน!!! นาทีนั้นผมคิดถึงเพียงเงินดำรงชีวิตไปวันๆ เท่านั้น จึงของานอะไรก็ได้ทำไปก่อน จากฝ่ายบุคคล ท่านนั้น
แต่คำตอบ ช่างโหดร้าย ไม่มีวันลืมได้ คือไม่มีงานเลย สักตำแหน่ง แล้วทิ้งท้ายว่า หากมีสัญญาจ้างงาน ก็มาเอาผิดได้ ฟ้องร้องได้น่ะ
(โถ ผมอายุเพียง 20 กว่าๆ จะไปฟ้องร้อง อะไรเป็น แค่ขอทำงาน แลกอาหารเลี้ยงชีวิต ยังให้ไม่ได้เลยหรือ ???? )
หลังจากช็อค กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไม่นาน สิ่งแรกที่ผุดขึ้นมาในสมองขึ้นมา คือ อยากกลับไปหาพ่อครับ เป็นสิ่งเดียวน่าจะสบายใจที่สุด แล้วค่อยกลับมาสู้กันใหม่ จากนั้น ผมรีบไปหาด้วยท่าน หวังเพียงทานข้าวด้วยกัน และค้างที่บ้านสักคืน แต่พอไปถึงบ้านท่าน ผมก็ระบายให้ท่านฟังได้สัก ครึ่งชั่วโมง ท่านก็ต่อว่า เรื่องการเปลี่ยนงาน และพ่อก็ให้ผมกลับ
ผมไม่ได้ทั้งอาหาร และนอนที่นั่น ( งง กันไหมครับ ชีวิตจริงๆ มีน่ะครับ เพราะอาจเค้ามีครอบครัวใหม่แล้วก็ได้ ) วันต่อมา ผมก็ตามหาแม่ ที่ไม่ได้ข่าวมาหลายเดือน ไปหาที่บ้านญาติก็ไม่ได้คำตอบ ตอนนั้น รู้สึกสับสน และผมเข้าใจได้ดีเลยว่าทำไม คนถึงคิดฆ่าตัวตาย
ผมกลับมาที่ บ้านอากง นั่งคิด และท้อ สิ้นหวัง จึงรวบรวม ยา ที่มีในห้อง ทานไป 100 กว่าเม็ด
ผมนอนหลับไป 2 เต็มๆ
คิดว่า น่าจะตาย แต่ทำไมฟื้น หว่า…
เมื่อไม่ตาย ก็ไปหางานทำ
ตอนนั้นไปขี่มอเตอร์ไซด์วิน เลี้ยงชีพ
ตอนนั้น ก็อายน่ะ เพราะวินที่ไปขี่ พบเพื่อนหลายๆ คน แต่ดีกว่า อดตาย
เงินที่ได้ จากรับผู้โดยสาร ผมนำไปถ่ายรูป สมัครงาน จำได้ว่าสมัครไป เกือบ 30 บริษัท รอโทรศัพท์เรียกไปสัมภาษณ์ แต่เงียบเลย
ช่วงนั้น ทานข้าวแกงเพียง 1 มื้อตอนเย็น เช้าและกลางวัน ทานน้ำ ครับ
( ขณะที่ ผมอยู่หลังมอเตอร์ไซด์ ทุกๆวัน ทำให้ผม ตั้งใจว่า เราต้องทำงานเยอะๆ ต้องอดทน และอดทน มากกว่าที่เคย นั่นคือ สิ่งที่ผมคิดได้)
หลังจากนั้น 3 เดือน ผมได้งานใหม่ บริษัทใหม่นี้ผมได้ค่าจ้าง 1หมื่นบาท ผมไปทำงานประมาณ 6-7วัน / สัปดาห์ ทั้งปีแทบไม่หยุด กลับบ้านเกือบ 3 ทุ่มทุกวัน เพราะ ผมบอกกับตัวเองว่า ไม่อยากกลับไปเป็นแบบเดิมอีกแล้ว
ตอนนั้นผมจำได้ว่า เพื่อนในบริษัท ชื่นชมว่า ผมขยัน แม้ เจ้าของบริษัท ก็เอ่ยชม บ่อยๆ ว่า ผมขยัน เก่ง ไว้ใจได้ เด็กแบบนี้หาได้ยาก ได้ฟังก็ปลิ้ม มีกำลังใจทำงานต่อไป ให้ได้ดี
เมื่องานปีใหม่ ของบริษัทมาถึง ที่นี่จะมีรางวัลพนักงานดีเด่นประจำปี หลายๆคน ก็บอกว่า ผมน่าจะได้มากที่สุด
เย็นวันนั้น เจ้านาย ก็ เรียกเข้าไปคุยในห้องนาย เพื่อนๆ ก็ส่งยิ้มให้ เป็นนัยว่า ดีใจด้วยน่ะ
(คุณว่าผมได้ขึ้นเงินเดือนเท่าไหร่จากเดิม 10,000บาท)
ผมอยู่ในห้องนั้น ร่วมชั่วโมง
ผมจำได้ว่า ห้องนั้นหนาวที่สุด เท่าที่เคยสัมผัสมา ผมออกจากห้องนั้น ทั้งน้ำตา ตาบวม ง่วงนอน ปวดตา สับสน กับเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด
เพราะนายจะลดเงินเดือนเหลือ 7,000 บาท ช็อคอีกแล้วน่ะ
(เนื่องจากผมวางบิลลูกค้าไม่ทัน เจ้านายอ้างว่า ต้องลงมาช่วย งานบ่อยๆ แต่ผมกลับเข้าใจผิดมาโดยตลอดว่า
เจ้านาย คงอยากตรวจงานด้วยตนเอง เพราะมันเป็นเรื่องเงินของท่าน อืม !!! )
ขอย้อนกลับไป @ วันแรกของที่บริษัทนี้ ก่อนครับ ผมสมัครเข้ามาตำแหน่งบัญชีน่ะครับ
บริษัทนี้เปิดมาได้ 6 เดือน ตำแหน่งที่ผมทำอยู่ พนักงานลาออกไป 3-4 คนแล้ว เพราะงานจุกจิกมาก
ตอนสัมภาษณ์งาน เจ้านาย และกรรมการ บอกกับผมว่า หวังว่าเธอจะอดทนน่ะ เพราะฉันเบื่อการสอนงาน กับเด็กใหม่ พอจะทำเป็น แล้วก็ลาออกไป …..
>>งานทั้งหมด ผมเรียนรู้ เพียง 1 เดือน จากนั้น ผมเริ่มวางระบบให้งานไวขึ้น
นายชื่นชอบมากๆ ต่อมา เจ้านาย ก็เพิ่มงานให้ผมเรื่อยๆ ผมก็เข้าใจว่า บริษัทเล็ก ต้องช่วยกัน เสมือนพี่น้อง
ตั้งแต่ส่งเอกสาร วางบิล ทำรายงานให้ผู้ว่าจ้าง ไปประชุมร่วมกับนาย ยกของ จัดซื้อคอม
ซ่อมคอม เอาเงินไปเข้าBank จ่ายเงินเดือน โทรทวงหนี้ จนถึงไปรับ กระโปรงของเจ้านาย ที่ ห้างมาบุญครอง
( นี่แหละครับ งานของผม ผู้อ่าน คิดว่า ผมน่าจะทำทันไหม ???)
ขออนุญาติ ย้อนกลับไป เล่าเรื่อง ขณะในห้องนาย <<
ตอนที่อยู่ในห้อง กับเจ้านาย ผมบอกแกว่า หากลดผมเหลือ 7,000 บาท
ผมคงไม่พอใช้แน่ๆครับ เพราะมีหนี้บัตรเครดิต อีก จึงขอเปลี่ยนจากแผนกบัญชีและคอมพิวเตอร์ และ เลขา และคนส่งเอกสาร
>>>ไปรับตำแหน่งใหม่ คือ แผนกทวงหนี้ (เพราะแผนกนี้มีค่าคอม แผนกนี้เท่านั้น ที่จะทำให้ผมมีโอกาสได้รายได้เท่าเดิมได้แต่เจ้านายกลับ ให้เงินเดือนผมเพียง 4000+ค่าคอม) ต่ำกว่าพนักงานเข้าใหม่ทุกคน รวมถึงแม่บ้านด้วย
ถึงตรงนี้ น้ำตาผม ร่วงมาเองเลย แสดงว่า ที่ผ่านมา ผมไม่มีค่า กับ เจ้านายเลย จริงๆ
ก่อนออกจากห้องนั้น เจ้านายบอกว่า หากมี งานดีกว่านี้ ให้ลองสมัครดู ทางบริษัท ยินดีน่ะค่ะ ผมก็บอกว่า ผมไม่ได้หางานใหม่เลย ผมขอโอกาสใหม่ครับ … (เป็นงัยบ้างผู้อ่าน ความอดอยาก มันเปลี่ยนเราได้น่ะ)
ผมอยู่แผนกทวงหนี้ อย่างมีความสุข ทำงาน 6 วัน พอเวลา 17.00น. มาถึง ผมกลับบ้านทันที รายได้ประมาณ 12000-15000 บาท
ผ่านไป 1ปี เจ้านาย และกรรมการ มาเสนอแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าแผนก พร้อมเงินเดือนเป็น 12000 บาท มีค่าคอม แต่จ่ายเป็นรายปีน่ะ คิดดูแล้วน่าจะได้ 20000 บาท/เดือน
เวลาผ่านไป 6 เดือน ก็เกิดเรื่อง ผมมี ปากเสียงกับลูกน้อง ผมโดนลดตำแหน่ง (แทนที่จะไล่ลูกน้องผมออกไป) ดันลงโทษที่ผม ลดเงินเดือนผม เท่าเดิม 7,000 บาท ค่าคอมที่ตกลงกันไว้ งดการจ่ายครับ (การอยู่ต่อไปคงไม่รุ่งแน่ๆ)
จากนั้นก็เริ่มหางานใหม่ ณ ปี 2000 ผมเปลี่ยนงานครับ ที่เก่า ไม่น่ารุ่ง เน๊อะ (เห็นด้วยกับผมไหม)
เอาไงดี ครับ กับพนักงานเงินเดือน
เฮ้อ .. นี่แหละ ชีวิต จากนั้น วันหยุด ผมจึงไปหารายได้พิเศษ จึงพบกับงาน ประหลาด ครับ
เมื่อ 2544 @บางปะกอก กทม. บริการตัดขนหมา อาบน้ำหมา
ถือเป็นเรื่องค่อนข้างแปลกครับ คนมายืนดูหน้าร้านกันเยอะเลย ยืนไปหัวเราะไป ชี้หมาบ้าง ชี้ช่างบ้าง 555 (แต่งานตัดขนสุนัขนี้ ตอบโจทย์สำคัญ ของผมเลย คือ 1.ได้เป็นแผนกหาเงินเข้าร้าน 2.ได้ทำงานไป ยิ้มไป สุนัขสร้างรอยยิ้มได้เสมอ 3.ผมเบื่อ กับการทำงานใน office ที่เราทำดี ซื่อสัตย์ ขยัน สุภาพ เพียงนาย หรือหัวหน้า ไม่ชอบหน้า ทุกอย่างจบ )
วันหยุดของผม ผมช่วย งานในร้านไปเรื่อยๆ ถูร้าน อาบน้ำ ตัดขน ส่งงาน แล้วไม่นาน บริษัทที่ผมทำงานประจำ กำลังจะไปไม่รอด เงินทุนหมด !!
พอดีร้านหมา ที่ผมมาช่วย เจ้าของร้านเดิม ไม่อยากทำต่อ อยากขายกิจการให้ แบบมัดมือชก… ผมจึงไปหยิบยืมเงิน ญาติ เพื่อนๆ มา เซ้งร้านต่อ (การยืมเงิน ทำให้เราเห็นธาตุแท้ เพื่อนหลายๆคนเลย การยืมเงินยากมาก เพราะเค้าก็ไม่ทราบว่าเราจะคืนได้ไหม) ในเวลา 1 เดือน ผมยอมรับเลย ไม่มีเพื่อนให้ยืมครับ แต่เจ้าของร้าน(คนเดิม) สามารถไปพูดกับ อาม่าผม จนสำเร็จ ^-^
ในละแวก นั้น มีคู่แข่งหลายเจ้าเลย ล้วนแล้ว แต่ตัดขนสวยกว่า ไวกว่า ผม และสุนัข เยอะกว่า ร้านผม แทบไม่มีสุนัขเข้ามาทำเลย ผมแอบไปมองดูร้านคู่แข่ง สุนัขที่ร้านเหล่านี้ มีจำนวนมากตั้งแต่เช้า ใน 1 วัน ผมมีสุนัข 1-2 ตัว ผมมาเปิดร้าน พร้อมห้างเปิด และจะปิด เมื่อยามจะปิดห้างแล้ว (หน้าด้านม่ะ ยามทำหน้าเซ็งประจำ 555) หากผมมีรายได้น้อย ผมจะไม่อยากปิดร้านเลย หากนอนที่นี่ได้ ก็นอนแล้ว ข้าวก็กินไม่ลง ช่วงนั้นอุดหนุน มาม่า เกือบทุกวัน ตอนนั้น ฝีมือการตัดขนสุนัข ของผม คงเทียบได้เท่ากับ เด็กเพิ่งหัดเดิน ก็ว่าได้ สุนัขที่มาใช้บริการ ทำได้เพียงไถขนสั้น ทั้งตัว ไม่มีความสามารถใช้กรรไกร ไปแต่งขนให้สวย ได้เลย ปัญหามีทุกๆด้าน แต่สิ่งที่เรามีติดตัว คือ การอ่อนน้อม มีสัมมาคาราวะ มือไม้อ่อน ยิ้มแย้ม อดทน มุ่งมั่น
ทุกๆครั้ง ที่ผมส่งงานลูกค้าไป ผมคิดในใจเสมอว่า เค้าเอามาสุนัข มาทำกับเรา ไม่ใช่เพราะฝีมือเรา หรือหาร้าน ไม่ได้ หรอก ” แต่เค้า ให้โอกาสเรา น่ะ แจ๊ค “
เมื่อผมเปิดร้านมาได้สัก 2 เดือน ผมก็ต้องตกใจ และเสียใจ อย่างมาก เมื่อมาทราบว่า เจ้าของร้านเดิม ขายร้านให้ผมแล้ว เค้ายังเหลือ อีก 1 สาขาซึ่งอยู่ ไม่ไกล จากเราเลย และสิ่งที่เค้าทำ คือโทรไปหาลูกค้าเก่าๆ ให้ตามไปทำกับเค้าด้วย (ลูกค้ามา เล่าให้ฟังน่ะครับ) และลูกค้า ที่กลับมาหาเรา ผมยิ่งต้อง ทราบซึ้งบุญคุณ ที่เค้ามีให้เรา ผมเข้าใจได้ดี เลยว่า ลูกค้าคือพระเจ้า พระเจ้าอาจจะอายุน้อย หรืออายุมาก เด็ก หรือผู้ใหญ่ เค้าคือผู้มีพระคุณ
แต่สิ่งที่เราต้องรีบทำ คือตัดขนหมาให้เก่งกว่านี้ เพราะลูกค้า จะได้รับสิ่งที่ คุ้มค่ากลับไป ผมพยายาม หา อาจารย์ ที่ตัดขน เก่งๆ ที่พอจะสอนเราได้ ในใจผมคิดว่า (เค้าต้องเก่งจริง มีผลงาน และเค้าต้อง ถ่ายทอดให้เรา อย่างหมดเปลือก) ช่วงนั้น ผมได้พบคน ช่างเก่งๆ หลายคน แต่เค้า สอนเราไม่หมด เพราะต้องกลับมาทำงานด้วย
แต่.... ผมก็ยังเป็น แจ๊คคนเดิม ที่ยกมือไหว้ ลูกค้าเสมอ แม้อายุน้อยกว่าผมก็ตาม หรือลูกศิษย์ และทุกครั้งที่ผม พนมมือไหว้ ผมจะอวยพร ให้พวกเค้ามีความสุข เสมอ